วันอังคารที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2554

คุณธรรมจากลิลิตตะเลงพ่าย

1 .ความรอบคอบไม่ประมาท
                ในเรื่องลิลิตตะเลงพ่ายนี้เราจะเห็นคุณธรรมของพระนเรศวรได้อย่างเด่นชัดและ สิ่งที่ทำให้เราเห็นว่าพระองค์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ทรงพระปรีชาสามารถ มากที่สุดคือ ความรอบคอบ ไม่ประมาท  ดั่งโคลงสี่สุภาพตอนหนึ่งกล่าวว่า
                   พระห่วงแต่ศึกเสี้ยน              อัสดง
เกรงกระลับก่อรงค์               รั่วหล้า
คือใครจักคุมคง                    ควรคู่ เข็ญแฮ
อาจประกันกรุงถ้า                  ทัพข้อยคืนถึง
                หลังจากที่พม่ายกกองทัพเข้ามาพระองค์ก็ทรง สั่งให้พ่ายพลทหารไปทำลายสะพานเพื่อว่าเมื่อฝ่ายไทยชนะศึกสงคราม พ่ายพลทหารของฝ่ายพม่าก็จะตกเป็นเชลยของไทยทั้งหมด นั่นแสดงให้เราเห็นว่าพระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ที่มีทัศนคติที่กว้างไกล ซึ่งมีผลมาจากความรอบคอบไม่ประมาท
2 .การเป็นคนรู้จักการวางแผน
                จากการที่เราได้รับการศึกษาเรื่องลิลิตตะเลง พ่ายเราจะเห็นได้ชัดเจนว่าในช่วงตอนที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงเปลี่ยนแผน การรบเป็นรับศึกพม่าแทนไปตีเขมร พระองค์ได้ทรงจัดการวางแผนอย่างเป็นขั้นเป็นตอนอย่างไม่รอช้า ทรงแต่งตั้งให้พระยาศรีไสยณรงค์เป็นแม่ทัพหน้าและพระราชฤทธานนท์เป็นปลัดทัพ หน้าตามด้วยแผนการอื่นๆอีกมากมายเพื่อทำการรับมือ และพร้อมที่จะต่อสู้กับข้าศึกศัตรูทางฝ่ายพม่า ยกตัวอย่างโคลงสี่สุภาพที่แสดงให้เราเห็นถึงการรู้จักการวางแผนของสมเด็จพระ นเรศวรมหาราช
                   พระพึงพิเคราะห์ผู้                  ภักดี ท่านนา
คือพระยาจักรี                        กาจแกล้ว
พระตรัสแด่มนตรี                    มอบมิ่ง เมืองเฮย
กูไกลกรุงแก้ว                       เกลือกช้าคลาคืน
                เมื่อเราเห็นถึงคุณธรรมทางด้านการวางแผนแล้ว เราก็ควรเอาเยี่ยงอย่างเพื่อใช้ในการดำเนินชีวิตให้เป็นไปอย่างมีระเบียบ มีแบบแผน ซึ่งจากคุณธรรมข้อนี้ก็อาจช่วยเปลี่ยนแปลงให้ท่านผู้อ่านทุกท่าน ให้กลายเป็นบุคคลที่มีคุณภาพชีวิตทางด้านการวางแผนในการดำเนินชีวิตก็เป็น ได้ถ้าเรารู้จักการวางแผนให้กับตัวเราเอง
3. การเป็นคนรู้จกความกตัญญูกตเวที
                จากบทการรำพึงของพระมหาอุปราชาถึงพระราชบิดา นั้น แสดงให้เราเห็นอย่างเด่นชัดเลยทีเดียวว่าพระมหาอุปราชาทรงมีความห่วงใย อาทร ถึงพระราชบิดาในระหว่างที่ทรงออกรบ ซึ่งแสดงให้เราเห็นถึงความรักของพระองค์ที่มีต่อพระราชบิดา โดยพระองค์ได้ทรงถ่ายทออดความนึกคิด และรำพึงกับตัวเอง ดั่งโคลงสี่สุภาพที่กล่าวไว้ว่า
                    ณรงค์นเรศด้าว               ดัสกร
ใครจักอาจออกรอน             รบสู้
เสียดายแผ่นดินมอญ           มอด ม้วยแฮ
เหตูบ่มีมือผู้                       อื่นต้านทานเข็ญ
                ซึ่งเมื่อแปลจะมีความหมายว่า เมื่อยามที่สงครามขึ้นใครเล่าจะออกไปรบแทนท่านพ่อ จากโคลงนี้ไม่ได้แสดงให้เราเห็นถึงความกตัญญูที่มีต่อพระราชบิดาของพระมหา อุปราชาเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีความกตัญญู ความ
จงรัก ภักดี ต่อชาติบ้านเมืองอีก
4. การเป็นคนช่างสังเกตและมีไหวพริบ
                สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงเป็นพระมหากษัตริย์ ที่มีพระปรีชาสามารถทางด้านการมีความสติปัญญาและมีไหวพริบเป็นเลิศ ดังนั้นจึงไม่แปลกเลยที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราชจะทรงมีคุณธรรมทางด้านการเป็น คนช่างสังเกตและมีไหวพริบ ด้วยเหตุนี้ทำให้พระองค์ทรงสามารถแก้ไขสถานการณ์อันคับขันในช่วงที่ตกอยู่ใน วงล้อมของพม่าได้ ซึ่งฉากที่แสดงให้เราเห็นว่าพระองค์ทรงมีคุณธรรมทางด้านนี้คือ
              โดยแขวงขวาทิศท้าว          ทฤษฎี แลนา
                    บัด ธ เห็นขุนกรี                    หนึ่งไสร้
เถลิงฉัตรจัตุรพิรีย์                   เรียงคั่ง ขูเฮย
หนแห่งฉายาไม้                     ข่อยชี้เฌอนาม
                         ปิ่นสยามยลแท้ท่าน            คะเนนึก อยู่นา
ถวิลว่าขุนศึกสำ-                     นักโน้น
ทวยทับเทียบพันลึก                แลหลาก หลายแฮ
ครบเครื่องอุปโภคโพ้น              เพ่งเพี้ยงพิศวง
                สมเด็จพระนเรศวรทรงใช้วิธีการสังเกตหา ฉัตร5ชั้น ของพระมหาอุปราชา ทำให้พระองค์ทรงทราบว่าใครเป็นพระมหาอุปราชาทั้งๆที่มีทหารฝ่ายข้าศึกร่าย ล้อมพระองค์จนรอบ แต่ด้วยความมีไหวพริบพระองค์จึงตรัสท้ารบเสียก่อนเพราะถ้าพระองค์ไม่ทรงตรัส ท้ารบเสียก่อนพระองค์อาจทรงถูกฝ่ายข้าศึกรุมโจมตีก็เป็นได้ ดังนั้นเมื่อเราเห็นคุณธรรมของพระองค์ด้านนี้แล้วก็ควรยึดถือและนำไปปฏิบัติ ตามเพราะสิ่งดีๆเหล่านี้อาจก่อให้เกิดผลดีต่อตนเอง และต่อประเทศชาติได้
                5. ความซื่อสัตย์
                จากเนื้อเรื่องนี้เราจะเห็นได้ว่าบรรดาขุน กรีและทหารมากมายทั้งฝ่ายพม่าและฝ่ายไทยมีความซื่อสัตย์และความจงรักภักดี ต่อประเทศชาติของตนมากเพราะจากการที่ศึกษาเรื่องลิลิตตะเลงพ่ายเรายังไม่ เห็นเลยว่าบรรดาทหารฝ่ายใดจะทรยศต่อชาติบ้านเมืองของตน ซึ่งก็แสดงให้เราเห็นว่าความซื่อสัตย์ในเราองเล็กๆน้อยๆก็ทำให้เราสามารถ ซื่อสัตย์ในเรื่องใหญ่ๆได้ซึ่งจากเรื่องนี้ความซื่อสัตย์เล็กๆน้อยๆของบรรดา ทหารส่งผลให้ชาติบ้านเมืองเกิดความเป็นปึกแผ่นมั่นคงได้
เรา ก็เช่นเดียวกัน....ถ้าเรารู้จักมีความ ซื่อสัตย์ต่อตนเองดั่งเช่นบรรดาขุนกรี ทหารก็อาจนำมาซึ่งความเจริญและความมั่นคงในชีวิตก็เป็นได้ซึ่งสิ่งนี้อาจส่ง ผลประโยชน์ต่อตนเอง ต่อครอบครัวและชาติบ้านเมือง
                6. การมีวาทศิลป์ในการพูด
                จากเรื่องนี้มีบุคคลถึงสองท่านด้วยกันที่ แสดงให้เราเห็นถึงพระปรีชาสามารถทางด้านการมีวาทศิลป์ในการพูด ท่านแรกคือ สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ในโคลงสี่สุภาพที่ว่า
                   พระพี่พระผู้ผ่าน                   ภพอุต-ดมเอย
ไป่ชอบเชษฐ์ยืนหยุด            ร่มไม้
เชิญการร่วมคชยุทธ์              เผยอเกียรติ ไว้แฮ
                    สืบว่าสองเราไซร้                   สุดสิ้นฤามี
                เราจะเห็นว่าสมเด็จพระนเรศวรทรงใช้วาจาที่ ไพเราะมีความสุภาพน่าฟังต่อพระมหาอุปราชาซึ่งเป็นพี่เมื่อครั้งที่สมเด็จพระ นเรศวรทรงประทับอยู่ทางฝ่ายพม่า
                ท่านที่สองคือ สมเด็จพระวันรัต เมื่อครั้งที่พระองค์ทรงมาขอพระราชทานอภัยโทษจากพระนเรศวร ให้กับบรรดาทหารที่ตามเสด็จพระนเรศวรในการรบไม่ทัน ซึ่งอยู่ในโคลงสี่สุภาพที่ว่า
                   พระตรีโลกนาถแผ้ว             เผด็จมาร
เฉกพระราชสมภาร               พี่น้อง
เสด็จไร้พิริยะราญ                 อรินาศ ลงนา
เสนอพระยศยินก้อง              เกียรติก้องทุกภาย
การ มีวาทศิลป์ในการพูดของสมเด็จพระวันรัต ครั้งนี้ทำให้บรรดาขุนกรี ทหารได้รับการพ้นโทษดังนั้นจากคุณธรรมข้อนี้ทำให้เราได้ข้อคิดที่ว่า การพูดดีเป็นศรีแก่ตัวเมื่อเราทราบเช่นนี้แล้วเราทุกคนก่อนที่จะพูดอะไรต้อง คิดและไตร่ตรองให้ดีก่อนที่จะพูด

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น